เตรียมปฐมวัย ปฐมวัย 1-3 (Nursery & Preschool)
ตั้งแต่คลอดจนถึงอายุ 4 ขวบ เด็กจะพัฒนา 50% ของสติปัญญาทั้งหมดของเขาจากอายุ 4 ถึง 8 ปี เขาจะพัฒนาอีก 30% จากการสังเกตจึงเห็นได้ว่ามีอัตราการเจริญเติบโตของสติปัญญาสูงมากในช่วงปีแรก ๆ และในช่วงเวลาที่เขากำลังพัฒนานั้น อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นอย่างมาก ในเมื่อ 80% ของพัฒนาการของเด็กเริ่มต้นก่อนพวกเขาจะอายุ 8 ปี เราจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้มาก สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก มีระเบียบ มีความมั่นคง จึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการ สอดส่องดูแลเด็กแต่ละคน การสอนความคิดใหม่ ๆ ให้กับเด็กตามลำดับและกระบวนการที่ถูกต้องจะทำให้พวกเขากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ต่อไป
การจัดห้องเรียนเป็นการจัดสภาพแวดล้อมเหมือนบ้านมีเครื่องใช้ เครื่องครัวให้เด็ก ๆ ได้ฝึกฝนการใช้มือความถนัดและการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อรู้จักช่วยเหลือตนเองห้องเรียนเป็น ห้องเรียนแบบเปิด โดยมีหลักใหญ่ 3 ประการคือ
1. ปรับงานโรงเรียนให้เหมาะสมกับเด็ก
2. ให้เสรีภาพแก่เด็กโดยปราศจากการเผด็จการจากครู
3. ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสของร่างกายเพื่อให้แยกแยะและใช้การได้อย่างคล่องแคล่ว
ภายในห้องเรียนได้จัดสิ่งแวดล้อมที่มีอุปกรณ์การเรียนเพื่อให้ เด็ก ๆ ก้าวไปในการเรียนด้วยระดับความพร้อมของตนเอง เพราะมือของเด็ก ๆ เป็นเสมือนอาจารย์ใหญ่ของเด็กเล็ก
การใช้พื้นที่การเรียนรู้ในห้องเรียนเดียวกันในกลุ่มเด็กนักเรียนอายุ 3-6 ปี (ปฐมวัย 1-3) เด็กจะอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายปี บนกิจกรรมที่มีความหลากหลายนักเรียนจะได้เรียนรู้ตามศักยภาพและความสนใจโดยไม่มีขีดจำกัดในเรื่องอายุ ภายใต้การสาธิตและการชี้นำของครูเด็กสามารถเลือกทำกิจกรรมที่เขาสนใจก่อนได้ สามารถเลือกจะทำในกิจกรรมที่มีความยากขึ้น ซับซ้อน และเมื่อเขาไม่พร้อมในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งก็มีอิสระเลือกที่จะทำกิจกรรมอื่นได้โดยจะไม่มีการแข่งขันในเชิงเปรียบเทียบ หรือทดสอบเพื่อเลื่อนชั้น
การได้เรียนรู้อย่างมีเสรีภาพภายใต้การดูแล แนะนำของครูโดยไม่มีการเปรียบเทียบนั้น เป็นหัวใจสำคัญของการมอบทักษะให้เด็กในช่วงวัยนี้ เด็กเล็กจะได้เรียนรู้จากเด็กโต เขาจะได้เห็นกิจกรรมที่ตัวเองต้องทำในอนาคต เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องทำจริง เขาจะคุ้นเคยและเรียนรู้ได้ดีกว่า ส่วนเด็กโตเขาจะรู้สึกมั่นใจและมีความภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบ บางครั้งเด็กโตจะช่วยสาธิตบทเรียนให้น้องๆดู เป็นบทพิสูจน์ว่าเขาเข้าใจและมีความสามารถในทักษะนั้นอย่างแท้จริง สภาวะ แห่งการเรียนแบบนี้ เมื่อเด็กเติบโตมากขึ้น และมีความสามารถมากขึ้น เด็กจะเกิดความรับผิดชอบในการช่วยเหลือและดูแลสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก และเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่เด็กๆ ที่เป็นรุ่นน้อง
เด็กๆ ในระบบมอนเตสซอรี จะถูกส่งเสริมให้ปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีการแข่งขันระหว่างกันเพื่อชัยชนะ หรือเพื่อศักดิ์ศรี ทำให้การดูถูกเหยียดหยามกัน เป็นพฤติกรรมที่มีน้อยลงมาก แต่กลับพบว่าเด็กๆ มีความสุขที่จะมอบความรักให้แก่กัน มีความใส่ใจดูแลซึ่งกันเเละกัน
ข้อมูลอ้างอิง www.doitung.org / Loei Montessori
มือของเด็กเป็นครูที่ดีที่สุดของเด็กเล็ก พวกเขาเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำ ดังนั้นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตประจำวันจะให้การเคลื่อนไหวทั่วไปที่ใช้ในบ้านได้แก่ การทำความสะอาดโต๊ะ การขัดเครื่องใช้ต่าง ๆ การตักข้าวสาร การรินน้ำ การร้อยดอกไม้ เป็นต้น วัตถุประสงค์ของหมวดนี้ คือ
1. ฝึกให้มีระเบียบวินัยการทำงานอย่างมีขั้นตอน เด็กจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เช่น จะทำอย่างไรจึงตักข้าวสารโดยไม่หกเลอะเทอะ
2. ฝึกใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กัน ทำงานประสานกัน ให้เด็กได้ฝึกใช้อวัยวะให้เกิดสมดุล เช่น การรินน้ำ การยกแก้วน้ำโดยไม่หก
ความเป็นตัวของตัวเองและการตัดสินใจเลือก เด็กมีงานที่จะเลือกทำได้หลายชิ้นความสำเร็จในการทำงานช่วยสร้างความภูมิใจให้มากและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น กล้าที่จะแสดงออก ทั้งยังช่วยสร้างความคิด สร้างสรรค์ให้แก่เด็กได้ เช่นกัน ผลดีที่ได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็ก ๆ ในการสร้างความสำเร็จทางการศึกษาในอนาคต
เน้นกิจกรรมที่ฝึกประสาทสัมผัส ทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ปาก และมือ เด็กจะใช้สายตาดูความเหมือนของสี ขนาด จาก อุปกรณ์เครื่องเล่น เช่น กล่องสี กล่องเสียง เป็นกล่องบรรจุเสียงที่มีสำดับเสียงต่างกันถึง 6 ระดับ เด็กจะใช้หูฟังและแยกคู่เสียง ใช้จมูกดมกลิ่นที่เหมือนกันจากอุปกรณ์เครื่องเล่น ลิ้นใช้ชิมรสของ อาหารและมือใช้สัมผัสความเหมือนของสิ่งของต่าง ๆ กิจกรรม เหล่านี้ช่วยพัฒนาสารทสัมผัสทุก ๆ ส่วนให้สัมพันธ์กัน และยังเป็นการปูพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และการเรียนวิชาอื่นให้แก่เด็ก
เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ครอบครัว พืช สัตว์ ต่าง ๆ โดยมีรากฐานการทรงสร้างโลกนี้ของพระเจ้าตามคัมภีร์เรียนรู้จริยธรรมคุณธรรมบนพื้นฐานของคริสเตียน เด็ก ๆ จะได้เข้าใจเหตุผลที่พวกเขาต้องเชื่อฟังผู้ปกครอง เหตุผลที่เขาต้องให้อภัยแก่เพื่อนและผู้อื่น เรียนรู้ถึงความสำคัญของการ อธิษฐาน การแบ่งปัน และการให้ความรักผู้อื่น
เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดคำนวณ เด็กจะเรียนรู้จากรูปธรรม (สิ่งที่จับต้องได้) เชื่อมโยงไปสู่นามธรรม เด็ก ๆ จะเรียนรู้เกี่ยวกับจำนวนเลข ค่าของตัวเลข รูปร่าง ตำแหน่ง และสี โดยมีอุปกรณ์ที่ให้เด็กได้ปฏิบัติด้วยตนเอง และเกิดการเรียนรู้
การเรียนภาษาของเด็กยึดหลักจากการเรียนรู้ตามพัฒนาการ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยธรรมชาติเด็กจะเรียนภาษาเริ่มจากการฟังและสามารถสื่อเป็น การพูด การอ่านและการเขียนเป็นลำดับสุดท้าย ในการหัดที่จะเขียนหนังสือให้ได้นั้น เด็ก ๆ จะต้องจำรูปร่างของตัวหนังสือและพัฒนาทักษะการใช้กล้ามเนื้อที่จำเป็นในการใช้ดินสอเพราะเด็กอาจจะรู้จักเสียงของทุกตัวอักษรอย่างสมบูรณ์ แต่มือของเขาอาจจะไม่พร้อมที่จะจับดินสอ มีหลายกิจกรรมที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้จักการเขียนโดยไม่ได้เขียนโดยตรงแต่ช่วยพัฒนา การควบคุมกล้ามเนื้อของเขา การใช้ตัวหนังสือ กระดาษทราย และถาดเมล็ดข้าว หรือถาดทราย เด็ก ๆ จะได้เห็นรูปร่าง สัมผัสรูปร่างและได้ยินเสียงของตัวหนังสือนั้นจากครูที่ออกเสียง เมื่อแนะนำตัวอักษรนั้น เด็ก ๆ จะลากตามรูปร่างนั้นและทวนเสียงของตัวหนังสือนั้น จึงใช้ความจดจำ ทั้งรูปร่าง และเสียงพร้อม ๆ กัน
เด็ก ๆ จะเรียนเสียงของตัวอักษรก่อนที่จะเรียนตัวหนังสือ ตามการเรียงลำดับอักษร เด็ก ๆ จะถูกสอนเสียงของตัวอักษรก่อน เพราะว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่เขาได้ยินในการสนทนารอบ ๆ ตัวของเขา จะมีเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า จุดประกายในการอ่าน เด็กจะพบว่าเสียงที่ประกอบกันขึ้นเป็นการสร้างคำที่มีความหมาย เด็กจะอุทานว่า “ฉันอ่านได้แล้ว ฉันอ่านได้แล้ว” ช่วงเวลานั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีจริง ๆ
การวาดรูป ระบายสี การฉีกปะกระดาษ การปั้น การพับ การฟังเสียงดนตรี การร้องเพลง กิจกรรมเข้าจังหวะ กิจกรรมดังกล่าว จะช่วยให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ ได้ผ่อนคลาย อารมณ์ ปลูกฝังให้เด็กชื่นชมศิลปะและวัฒนธรรมประจำชาติ
พลศึกษา เป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ที่จำเป็นที่เน้นเป้าหมายมากกว่าเน้นกิจกรรม กิจกรรมบริหารร่างกายแบบไม่จบลงที่กิจกรรม เป็นการที่ใช้กล้ามเนื้อที่ได้วางแผนไว้เพื่อฝึกการบริหารร่างกายส่วนตัว ที่จะพัฒนาทั้งร่างกายและส่งเสริมการพัฒนา องค์ความรู้ การตัดสินใจและเป็นการเพิ่มพูนความสามารถส่วนตัวในทุกช่วงชีวิต
ชั้นเรียนปฐมวัยมี 2 ประเภทห้องเรียน
1. Regular Classroom (ห้องเรียนสามัญ) การเรียนการสอนเป็นภาษาไทย โดยมีครูต่างชาติเข้าสอนทักษะภาษาอังกฤษเป็นรายคาบเรียน
2. Intensive English Classroom (ห้องเรียนเน้นภาษา) เน้นการเรียนรู้ภาษาธรรมชาติผ่านคุณครูต่างชาติซึ่งอยู่ประจำชั้นเรียน โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในกิจกรรมชีวิตประจำวัน ภาษาอังกฤษ คณิตศาตร์ การฝึกประสาทสัมผัส ฯลฯ เพื่อให้เด็ก ๆ เกิดความคุ้นเคยและซึมซับการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
นักเรียนชั้นเตรียมปฐมวัย (มีเพียงรูปแบบห้องสามัญ)
จำนวน 20 คน
คุณครูไทย 2-3 คน
นักเรียนชั้นปฐมวัย 1-3 (ห้องสามัญ)
จำนวน 28 คน (Update ในปี 2567)
คุณครูไทย 2 คน
นักเรียนชั้นปฐมวัย 1-3 (IEC)
จำนวน 28 คน (Update ในปี 2567)
คุณครูไทย 2 คน
ครูต่างชาติ (Native Speaker) 1 คน